วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

10 ฉลามที่เป็นอันตรายต่อคนมากที่สุด

10) ฉลามมะนาว
ฉลามมะนาวเป็นฉลามที่ล่าฉลามอื่นๆกินเป็นอาหาร นอกจากนี้ พวกมันยังล่านกทะเลขนาดใหญ่, หมึก, สัตว์มีกระดอง, และปลากระเบนกินเป็นอาหาร ฉลามมะนาวนั้นอาจจะไม่ดุร้ายต่อมนุษย์ แต่ถ้ามันถูกแหย่แล้วล่ะก็ เจ้าฉลามสีเหลืองตัวใหญ่นี้คงไม่ลังเลที่จะกัดคุณซักงาบ แถมการกัดของเจ้านี่เนี่ยอาจจะถึงตายได้นะ ถึงเจ้านี้จะอันตราย แต่มันก็ไม่ได้อาศัยอยู่แถวประเทศไทย เพราะฉะนั้นก็วางใจได้




9) ฉลามน้ำเงิน

ฉลามน้ำเงินเป็นเจ้าตัวตะกละตะกลามที่จะกินๆๆๆๆจนเกือบจะท้องแตก เหยื่อของพวกมันนอกจากปลาแอนโชวี่แล้วก็ยังเป็นปลาแม็คเคอเร็ล, ปลาซาร์ดีน, นก, แมวน้ำ, เต่าทะเล, และหมึก เจ้าฉลามน้ำเงินนี้ยังเป็นที่รู้จักว่าชอบเข้าโจมตีเรือหาปลาขนาดเล็กและนักประดาน้ำด้วย และก็เป็นโชคร้ายของเราที่เจ้าฉลามน้ำเงินนั้นพบได้ในมหาสมุทรเกือบทั่วโลก



8) ฉลามหัวค้อน

ฉลามหัวค้อนยักษ์นั้นสามารถยาวได้ถึง 4เมตรและหนักได้ถึง 680.4กก. (<--ฆ่าคนได้สบาย) พวกมันมีตำแหน่งของตาที่แปลกประหลาดซึ่งทำให้มองเห็นได้ไกลและกว้างขึ้น ฉลามหัวค้อนนั้นเป็นนักล่าตื่นตัวที่อาศัยอยู่ในน้ำค่อนข้างอุ่น (รวมถึงไทยทางตะวันออก) มันกินปลาและหมึกเป็นหลัก



7) ฉลามเสือทราย

ฉลามเสือทรายนั้นมักจะอาศัยอยู่ในน้ำตื้น แต่บางครั้ง มันก็จะดำน้ำลงไปลึกถึง 200เมตร ฉลามเสือทรายนั้นสามารถพบได้ในมหาสมุทรแปซิฟิก (รวมถึงไทยทางตะวันออก), มหาสมุทรอินเดียน, มหาสมุทรแอตแลนติกทั้งตะวันออกและตะวันตก, ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลเอเดรียติก พวกมันดูเหมือนจะเป็นปลาดูน่ากลัวน่าดุร้ายที่สุดในโลก ด้วยฟันยาวๆแหลมๆที่จะล้นปากอยู่แล้ว ถึงเจ้านี่จะน่ากลัว มันก็ไม่เป็นอันตรายต่อคนถ้าไม่โดนแหย่




6) ฉลามเกรย์รีฟ

ฉลามเกรย์รีฟนี้จะตื่นตัวในเวลากลางวัน แต่จะล่าเหยื่อในกลางคืน ซึ่งเหยื่อของมันก็ได้แก่ปลาที่อาศัยอยู่ตามปะการัง, หมึกสายและหมึกยักษ์, และสัตว์มีกระดองอื่นๆ เจ้าฉลามสปีชีส์นี้เป็นสัตว์สังคมที่ช่างสงสัย ซึ่งนักประดาน้ำนั้นก็สามารถทดสอบความช่างสงสัยและความสามารถในตรวจของพวกมันได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าฉลามเกรย์รีฟรูสึกว่าอยู่ในอันตรายแล้ว มันก็จะงอตัวเป็นรูป S ฉลามเกรย์รีฟสามารถพบได้ในน่านน้ำของไทยทั้งทางใต้และตะวันออก



5) ฉลามเมโก้ครีบสั้น (อ่านอย่างอังกฤษก็มาโก้)

ฉลามสปีชีส์นี้มีรูปร่างเหมือนตอร์ปิโดซึ่งทำให้พวกมันมีความเร็วที่สุดในหมู่ฉลาม ฉลามเมโก้ครีบสั้นนี้เป็นนักล่าที่ดุร้ายก้าวร้าว และพวกมันจะไม่ลังเลใจที่จะเข้าโจมตีเมื่อโดนแหย่เลย ชาวประมงนั้นมักจะแจอฉลามเมโก้ที่หลุดจากแนวเบ็ดไปได้และเข้ามากัดกับฟาดหางใส่ เจ้าฉลามน่ารัก (???!!!) นี้สามารถพบได้ในทะเลห่างไกลชายฝั่งทั่วโลก



4) ฉลามครีบขาว

ฉลามครีบขาวนี้ปรกติแล้วอาศัยอยู่ในน้ำอุ่นความลึกมากในทะเลทั่วโลก แต่มันก็มักจะว่ายน้ำขึ้นมาใกล้ผิวน้ำเพื่องาบอะไรก็ตามที่อาจจะเป็นอาหารได้ เมื่อตอนที่ฉลามครีบขาวร่วมล่าเหยื่อกับฉลามอื่นๆ มันมักจะเปลี่ยนเป็นฉลามที่ดุร้ายก้าวร้าวและทำให้การล่านั้นกลายเป็นการมะรุมมะตุ้มแทน ฉลามครีบขาวอาจจะไม่ใช่ฉลามที่ดุร้าย แต่มันก็สามารถว่ายน้ำด้วยความเร็วสูงได้ในเวลาสั้นๆ 



3) ฉลามเสือ

เจ้าฉลามเสือนี้เป็นอันตรายต่อทั้งนักประดาน้ำและผู้คนที่ลงว่ายน้ำก็เพราะว่ามันมีขนาดใหญ่ (มากกว่า 5เมตร), มันล่าเหยื่อทั้งใกล้และไกลฝั่ง, และมันเป็นสัตว์ที่ทั้งช่างสงสัยและกินไม่เลือก ที่จริงแล้ว เจ้าฉลามเสือนั้นจะกินอะไรก็ตามที่ลอยน้ำผ่านสายตามา!!! และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เจ้าฉลามนี้สามารถพบได้ในทะเลเกือบทั่วโลก รวมถึงไทย (ถ้าจำไม่ผิดจขกท. เคยอ่านบทความนานมาแล้วเกี่ยวกับฉลามเสือทำร้ายคนในไทย)



2) ฉลามขาวยักษ์

ฉลามขาวยักษ์นั้นก็คือปลานักล่าที่ทั้งใหญ่และมีชื่อดังที่สุดในโลก เจ้าฉลามสปีชีส์นี้สามารถหนักได้ถึง 1111.3กก. และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือเจ้านี้สามารถพบได้ในทะเลทั่วโลก แต่มันจะมาโผล่ที่น่านน้ำอุ่นของอเมริกาเหนือและใต้ และออสเตรเลียตะวันตกมาหน่อย ฉลามขาวยักษ์นี้มีฟันที่ทั้งแหละและคมสุดๆรูปร่างเหมือนปลายลูกธนู ซึ่งมันใช้ฟันอันตรายเหล่านี้เพื่อเฉือนเนื้อและฉีกออกมาเป็นชิ้นใหญ่ก่อนที่จะกลืนเข้าไปโดยไม่เคี๊ยว



1) ฉลามหัวบาต (
Bull shark)
เจ้าฉลามดุร้ายสปีชีส์นี้ชอบที่จะอยู่ในน่านน้ำอุ่นและตื้นซึ่งเป็นที่ๆคนมักจะลงว่ายน้ำ พวกมันสามารถพบได้ในทะเลทั่วโลกหรือแม้แต่ในน้ำจืดที่ห่างจากทะเลไปหลายกิโลเมตร!!! เมื่อเข้าโจมตี เจ้าฉลามหัวบาตนี้จะใช้เทคนิค “พุ่งแล้วกัด” ซึ่งทำให้มันสามารถรับรสชาติและฉีกเนื้อออกมาในเวลาเดียวกัน

หลังจากที่คุณได้อ่านแล้วก็อย่าไปคิดล่ะว่าพวกมันสมควรจะตาย เพราะพวกมันจะไม่ทำร้ายคุณก่อน นอกจากนี้ เจ้าฉลามเหล่านี้ยังมีประโยชน์อีกเยอะแยะ (อ่านที่ http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2282209) และพวกมันก็เหมือนเป็นบรรพบุรุษของเราที่ทั้งสง่างามและน่าเกรงขาม คุณคงอยากให้ลูกหลานได้เห็นจริงมั๊ย???

ที่มา - http://www.yourdiscovery.com/web/sharks/photos/ten-deadliest-sharks/ และวิกิพีเดีย

"ผู้ชายเกาหลี" ทำงานบ้านน้อยที่สุดในโลก


 
 หากครอบครัวใดมีพ่อบ้านไม่ค่อยช่วยงานบ้าน จนทำให้บรรดาคุณแม่บ้านแอบเหนื่อยปนน้อยใจ วันนี้คุณอาจไม่ใช่คนเดียวที่เผชิญกับสภาพดังกล่าว เพราะในหลายประเทศทั่วโลก ก็มีการสำรวจออกมาแล้วว่า บรรดาคุณผู้ชายทำงานบ้านในจำนวนชั่วโมงที่ น้อยกว่า ผู้หญิงจริง ๆ      
       ทั้งนี้ จากการสำรวจของ OECD (The Organization for Economic Cooperation and Development) ที่ได้รายงานผ่าน Society at a glance ประจำปี 2011 ระบุว่า ประชากรทางตอนใต้ของยุโรป และผู้ชายชาวเอเชียคือกลุ่มที่มีส่วนร่วมในการทำงานบ้านน้อยที่สุด
      
       โดยทาง OECD ได้ทำการสำรวจประชากรใน 29 ประเทศเกี่ยวกับจำนวนเวลาที่ผู้คนอุทิศตัวให้กับงานที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (งานที่มีการลงแรง มีการให้บริการ และก่อให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์บางอย่างขึ้นมาแต่ไม่ได้นำมาซึ่งรายได้ต่อตนเอง หรือก็คืองานบ้านต่าง ๆ เช่น การทำอาหาร ทำสวน หรือการทำความสะอาดบ้านนั่นเอง) ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่า ผู้คนใช้เวลาโดยเฉลี่ย 3.5 ชั่วโมงต่อวันไปกับการทำงานเหล่านั้น แต่เมื่อเจาะลงไปในเรื่องเพศแล้วพบว่า ผู้หญิงใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมงต่อวันไปกับงานบ้าน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าผู้ชาย
      
       รายงานชิ้นนี้ระบุว่า ผู้ชายเอเชีย โดยเฉพาะอินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้อุทิศเวลาให้กับการทำงานบ้านน้อยที่สุด (ไม่ถึงชั่วโมงต่อวัน) ส่วนผู้ชายชาวอเมริกันนั้นกลับตรงกันข้าม เพราะพวกเขาทำงานบ้านกันเฉลี่ยแล้ว 3 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว
      
       การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงต้องทำงานบ้านมากกว่าผู้ชายเพราะเวลาทำงานประจำ (งานที่ได้รับเงินเดือน) ของพวกเธอสั้นกว่า ส่วนในประเทศที่ผู้หญิงได้รับค่าจ้างแรงงานในอัตราสูงนั้นพบว่า ทั้งสองเพศมีการทำงานบ้านเฉลี่ยแล้วเท่า ๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงในประเทศนอร์เวย์ ซึ่งมีนโยบายความเท่าเทียมทางเพศที่ใช้แล้วเห็นผลจริง พบว่า เวลาที่ผู้หญิงใช้ทำงานบ้านก็ต่ำที่สุดด้วยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
      
       ส่วนผู้หญิงเกาหลีนั้น จัดอยู่ในอันดับ 8 ของผู้หญิงที่อุทิศเวลาให้กับการทำงานบ้านจากผู้หญิง 29 ประเทศ ในทางตรงกันข้าม ผู้ชายเกาหลีนั้นถูกจัดอยู่ในอันดับสุดท้ายของประเทศที่เข้าร่วมการสำรวจในครั้งนี้เลยทีเดียว โดยผู้ชายเกาหลีทำงานบ้านเฉลี่ยเพียง 50 นาทีต่อวันเท่านั้น
      
       ส่วนงานที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อื่น ๆ เช่น การดูแลลูกนั้นก็พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามต่างให้เวลากับมันไม่มากนักเช่นกัน โดยเฉพาะในเกาหลี เบลเยี่ยม และฮังการี ที่พบว่าเวลาที่อุทิศให้กับการดูแลเด็กนั้นน้อยกว่า 1 ชม.ต่อวัน
      
       สำหรับค่าเฉลี่ยของเวลาที่พ่อแม่ใช้กับลูก ๆ นั้นพบว่า อยู่ที่ 4.1 ชั่วโมง แต่เมื่อมองเรื่องเพศแล้วพบว่า พ่อใช้เวลาน้อยกับลูก ๆ น้อยกว่าแม่ โดยพ่อเฉลี่ยอยู่ที่ 42 นาที ส่วนแม่นั้นอยู่ที่ 1 ชั่วโมง 40 นาที และประเทศที่ผู้ปกครองอุทิศเวลาให้กับลูกต่ำสุดก็คือประเทศเกาหลีอีกเช่นกัน
      
       อย่างไรก็ดี แม่บ้านเกาหลีที่ไม่ได้ทำงาน จะใช้เวลาอยู่กับลูกประมาณ 89 นาที เปรียบเทียบกับแม่ที่ต้องทำงานที่จะดูแลลูกประมาณ 31 นาที (มากกว่าประมาณ 3 เท่า)
      
       นอกจากนั้นแล้ว ตามการรายงานของ OECD ยังพบว่า ความเอื้อเฟื้อในสังคมเกาหลีนั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของมาตรฐานโลกด้วย (อยู่ที่ 35 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของ OECD อยู่ที่ 39 เปอร์เซ็นต์)
      
       สาวไทยที่หลงรักหนุ่ม ๆ เกาหลีอาจต้องรับเรื่องนี้เอาไว้พิจารณาด้วยค่ะ เพราะแต่งงานไปแล้ว ไม่ยอมช่วยงานบ้านนี่ก็ไม่ไหวจริง ๆ นะคะ
 

เรียบเรียงจาก Asiaone.com
 
ข้อมูลจาก http://www.manager.co.th



Credit :  http://www.manager.co.th

ที่สุด ของ ที่สุด ก๊อปตัวแม่ จีนไง

 
ของจริง Starbucks 


KFC ก็มาด้วย 


puma ก็โดนด้วย 


เตือนสาว ๆเลยนะค่ะ


ไข่ปลอม


นมปลอม



สาหร่ายปลอม  

หน่อไม้ปลอม (ทำจากตะเกียบไม้) =[]=!!




ไก่ปลอม  





ยางผูกผม ทำจากถุงยางที่ใช้แล้ว   



ซอสถั่วเหลืองปลอม


ยาปลอม


ปู่เกิ้ลของเราก็โดน =[]=!!!!! 


อัพเพิ่มค่ะ

iPed ของพี่จีน (ของจริง iPad นะค่ะ)


iPhone 4G   (มีเสาร์ด้วย > <)


จีนเค้า'เจ๋งจริง ก๊อปกระทั่ง BMW   


iPhone 2 ซิม  


ชอบขึ้นสวรรค์

- ทำไมผู้ชายจึงชอบมองหน้าอกผู้หญิง
--เพราะอยากขึ้นสวรรค์
--มองหน้าอกแล้วได้ขึ้นสวรรค์ยังไง
--สวรรค์ในอก นรกในใจ

กฎของบริษัท

บริษัทแห่งหนึ่ง
ที่แผนกขายมีป้ายเตือนพนักงานติดประกาศ
" กฎของบริษัท"
1) ลูกค้าย่อมถูกเสมอ
2) ถ้าสงสัย ให้ไปดูกฏข้อที่ 1

พนักงานคนหนึ่ง เกิดโต้เถียงกับลูกค้า
และเชื่อว่า ตนเองไม่ผิด
ลูกค้างี่เง่าเอง
กฏอย่างนี้ ไม่น่าจะถูกต้อง
ก็อยากจะไปเรียนผู้บริหาร ให้แก้ไขเสีย
เพราะมันหลายครั้งแล้ว จนทนไม่ไหว
จึงขอเข้าพบผู้บริหาร

ระหว่างที่กำลังรออยู่หน้าห้องผู้บริหาร
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น
ป้ายติดอยู่หน้าห้องผู้บริหาร เขียนว่า

" กฎของบริษัท"
1) ผู้บริหารย่อมถูกเสมอ
2) ถ้าสงสัย ให้ไปดูกฏข้อที่ 1

วางแผนครอบครัว

ในคืนแต่งงาน หลังจากส่งตัวเข้าหอแล้ว คู่บ่าวสาวคุยกัน
เจ้าสาว-----ถ้ามีลูกสาว ฉันจะตั้งชื่อว่า "หญิง" ใครๆก็จะเรียกลูกฉันว่า "คุณหญิง "
เจ้าบ่าว-----ถ้าลูกเป็นผู้ชาย ผมจะตั้งชื่อว่า "ธนาคาร" พอลูกโต อายุครบ 15 ก็จะได้เป็น "นายธนาคาร"
เจ้าสาว-----ถ้างั้นก็ตั้งชื่อว่า "พล" ซิ ลูกเราก็จะได้เป็น "นายพล" ตั้งแต่อายุ 15
เจ้าบ่าว-----ถ้ามีลูกชายอีกคน ผมจะตั้งชื่อว่า "อิทธิพล " ฮ่า ฮ่า ผมก็จะเป็น "ผู้มีอิทธิพล"
เจ้าสาว-----ถ้างั้น ลูกชายคนเล็ก ( เมียมองข้ามช็อตไปโน่น ) ฉันจะตั้งชื่อว่า "อภิสิทธิ์" ฉันก็จะเป็น "ผู้มีอภิสิทธิ์" ด้วยซิ

เรื่องของวัย

ในชั้นเรียน ครูกำลังอธิบายถึง การเจริญเติบโตของคนว่า
เมื่อแรกเกิด เราก็เรียกว่า วัยทารก
เมื่อโตขึ้นมาหน่อย ก็เรียก วัยเด็ก
พอโตขึ้นมาอีก ก็เรียก วัยรุ่น
ถัดจากนั้นก็เรียก วัยทำงาน หรือวัยเจริญพันธุ์

ถึงตอนนี้ ครูก็ถามขึ้นมาว่า
ถัดจากวัยนี้ เราเรียกวัยอะไร

ทันใดนั้นก็มีเสียงตอบจากท้ายห้องว่า..

ไวอากร้า

สนุก 100 %

มีทหาร 3 คนกำลังคุยว่ามีเซ็กส์เป็นหน้าที่หรือความสนุก
ทหารคนที่หนึ่ง: ข้าว่าหน้าที่ 30% สนุก 70%
ทหารคนที่สอง: ข้าว่าหน้าที่ 80% สนุก 20%
ทหารคนที่สาม: ข้าว่าหน้าที่ 50% สนุก 50%
พอทหารทั้ง 3 คนตกลงกันไม่ได้ก็เกิดการถกเถียงกัน พอดีมีทหารชั้นผู้น้อยมาเสริฟน้ำ ทหารทั้งสามก็ถามว่านี่แกว่าเซ็กส์เป็นหน้าที่ หรือความสนุก
ทหารชั้นผู้น้อย: ผมว่าความสนุก 100% ครับ
ทหารทั้งสาม: ทำไมวะ
ทหารชั้นผู้น้อย: ก็ถ้าเซ็กส์เป็นหน้าที่พี่คงสั่งให้ผมทำแทนแต่นี่พี่ไม่เคยให้ผมทำแทนผมจึงฟันธงว่าเ​ซ็กส์เป็นเรื่องสนุก 100%

เกราะเหล็ก

กาลครั้งหนึ่งที่ฝรั่งเศสยังอยู่ในยุคแย่งชิง ประเทศกำลังจะเกิด จะดับ..โยนออฟอาร์ค ก็ยังไม่เกิด...555 ร่ายนำก่อน...เข้าเรื่องเลยนะ
เรื่องมีอยู่ว่าช่างตีเหล็กหนุ่มหล่อคนหนึ่ง ต้องถูกเกณฑ์ให้ไปรับใช้ชาติ ทั้งๆที่เขาได้ขอผ่อนผันมาแล้วก็หลายปี เพราะว่าเมียเขาสวยมาก(ขาว สวย แหม่ม เซ็กซ์) ระดับดาวมหาลัย เขาก็ไม่อยากทิ้งให้เมียอยู่โดยลำพัง แต่คราวนี้หมดสิทธิ์ผ่อนผันเสียแล้ว ...เอ้อ ยังไงก็ต้องไป ก่อนไปเขาได้ตกลงกับเมียสาวว่าจะตีเหล็กเป็นชุดชั้นใน(กกน.+ยกทรง น่ะแหละ)เพื่อว่าจะได้แสดงให้เห็นว่าเมียยังซื่อสัตย์ต่อเขาไม่เปลี่ยนแปลง โดยจะใส่ล็อคกุญแจไว้ด้วย กลับมาเมื่อไหร่จะเปิด(ซิง)ให้สมใจ...แต่ว่าสงครามก็ไม่แน่นอน เขาอาจไม่ได้กลับมา แล้วเมียจะทำไงเล่า...เขาจึงเอาลูกกุญแจไปฝากไว้กับเพื่อนสนิท(คบกันมาตั้งแต่อยู่ในท้อง)และกำชับนักหาว่า​ 3ปี ไม่กลับมา(ไม่ได้เรียนรด.) ถ้าข้าตายในสนามรบก็ขอให้เพื่อนช่วยมาเปิดกุญแจให้เมียข้าด้วย ต้องให้แน่ใจนะว่าข้าตายแล้วจริงๆ แล้วเขาก็เดินทางไปร่วมทัพได้อย่างโล่งใจ....
แต่ระหว่างที่เดินทางอยู่กับเพื่อนทหารหาญ ไปไกลเกือบลับตาแล้ว เพื่อนสนิทเขาก็ควบม้า ตามมาอย่างรีบร้อนที่สุด พร้อมกับตะโกนเสียงดังด้วยข้อความที่ฟังไม่ค่อยชัดเพราะอยู่ห่างกันมาก เมื่อเพื่อนเข้ามาใกล้จึงจับใจความได้ว่า
"เฮ้ย..หยุดก่อนโว้ย !! ลูกกุญแจที่นายให้ไว้น่ะ มันผิดดอก(เปิดไม่ได้)ว่ะ..."

ของใครยาว

ชายสี่คนนั้งกินเหล้ากันหลังเลิกงานเกิดคิดอะไรดีๆขึ้นมาพร้อมกัน
ว่าของๆใครยาวกว่ากัน
ชายคนที่หนึ่งตอบว่าของๆเขายาวเท่าตึกหนึ่งชั้น
ชายคนที่สองก็ไม่น้อบหน้าตอบว่าของๆเขายาวเท่าตึกสองชั้น
ชายคนที่สามเห็นเพื่อนสองคนแข่งกันก็บอกว่าของๆเขายาวเท่าตึกสามชั้นมีใครยาวกว่ามีอ​ีกไหม
ตอนที่ทั้งสามกำลังแข่งกันอยู่นั้นชายคนที่สามก็เห็นชายคนที่สี่กำลัง
ยืนส่ายไปส่ายมาอยู่ก็ถามขึ้นมาว่า เฮ้ย มึงทำอะไรอยู่วะ
ชายคนที่สี่ก็ตอบว่ากูกำลังหลบรถเมล์อยู่หว่ะ...

ชู้กับม้า

เรื่องเกิดภายในบาร์แห่งหนึ่งเมื่อชาย3คนมาปรับทุกข์เรื่องที่เมียมีชู้
ชายคนแรก "เมียผมเป็นชู้กับช่างไฟครับ"
ชายคนที่สาม "คุณรู้ได้ยังไง?"
ชายคนแรก "เพราะผมเจอสายไฟกับไขควงอยู่ใต้เตียงน่ะสิ"
ชายคนที่สอง "เมียผมก็เป็นชู้กับช่างประปาครับ"
ชายคนที่สาม "คุณรู้ได้ยังไง?"
ชายคนที่สอง "ผมก็เจอท่อประปากับประแจอยู่ใต้เตียงน่ะสิ"
ชายคนที่สาม "ถ้างั้นเมียผมก็เป็นชู้กับม้าน่ะสิ..."
ชายคนแรกและคนที่สอง "ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นล่ะ!"
ชายคนที่สาม "ก็ผมเจอ จ๊อกกี้ อยู่ใต้เตียงน่ะสิ...."

ขอถุงหน่อยซิ้ม

กระทาชายนายหนึ่งเกิดมาไม่เคยมีอะไรกับสาวเลยจนกระทั่งวันหนึ่งก้อได้ตัดสินใจจะไปเท​ี่ยวอาบ อบ นวด โดยไม่ลืมคำขวัญที่ว่าขับรถระวังชน ซุกซนระวังเอดส์ จึงเดินก้าวเข้าไปในร้านขายยาแห่งหนึ่งเพื่อซื้อถุงยางอนามัย ประสบเจอกับซิ้มคนนึงนั่งอยู่ในร้าน ซิ้มก้อถามว่า "ลื้อจาอาวอารายยย" หนุ่มน้อยหน้ามนคนนี้ไม่เคยซื้อถุงยางมาก่อนแต่ก้อได้รวบรวมความกล้ากระซิบบอกซิ้มไป​ว่า "อั๊วมาซื้อถุงยาง" ซิ้มถามกลับไปว่า"ลื้อจาอาวซ้ายหนาย" อะไรกัน! ชายหนุ่มคิดในใจ ถุงยางมีไซส์ด้วยหรือ ทำไมไม่เห็นรู้เลย ลังเลอยู่พักนึงจึงกระซิบบอกซิ้มไปว่า"ซิ้มจับดูแล้วกันอั๊วไม่รู้ไซส์" ว่าแล้วก้อเดินไปให้ซิ้มจับ ซิ้มจับอยู่พักนึงก้อตะโกนบอกไปทางหลังร้าน "อีหนูๆ ซามอลซ้ายก่องนืงง" ชายหนุ่มได้ยินเข้าถึงกับหัวเสียเพราะไม่เชื่อว่าของตนจะมีขนาดเล็กอย่างนั้นจึงบอกซ​ิ้มว่า "โห! จับใหม่เลยซิ้มของอั๊วไม่เล็กขนาดนั้นหรอก" ซิ้มล้วงมือลงไปจับอีกครั้ง คราวนี้นานกว่าครั้งแรกแถมลูบไปมาจนแน่ใจจึงตะโกนบอกเด็กรับใช้หลังบ้านอีกครั้ง " อีหลูๆ เอามีเลี่ยมซ้ายยมา" ชายหนุ่มยังไม่พอใจอยู่ดีพร้อมบอกให้ซิ้มลองวัดดูอีกที คราวนี้ซิ้มใช้เวลาแป๊ปนึงก้อดึงมือออกมาจากกางเกงชายหนุ่มพร้อมตะโกน "อีหลูๆ ถุงยางม่ายต้องเลี้ยว เอาทิกชู่มาแผ่งนึงด่วน!

เหลืออีก 3 เมตร

กาลละครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีหนุ่มชาวเขา เผ่าหนึ่ง
ได้หมั้นหมายกับสาวน้อยแรกรุ่นต่างเผ่า

ด้วยความคิดถึงทรวดทรงอันอวบอิ่ม สมวัยแรกสาวบานสะพรั่งของคู่มั่นหมาย...หนุ่มเผ่าเต๋า
ตั้งใจว่ารุ่งขึ้นจะออกเดินทางไปเยี่ยมเยียนคู่หมั้นสาวให้หายคิดถึง
เย็นวันนั้นหนุ่มเผ่าเต๋าบอกกับแม่ของเขาว่า กางเกงในที่ใส่อยู่มันเก่ามากแล้วใส่
มา 3 เดือนไม่เคยเปลี่ยนเลยแม่ช่วยไปซื้อผ้ามาตัดให้ใหม่ที
แม่ของหนุ่มเผ่าเต๋ารีบรุดออกไปตลาดซื้อผ้าใหม่มา 5 เมตร
และตัดเย็บกางเกงในอย่างปรานีตสุดฝีมือให้หนุ่มเผ่าเต๋าของเรา 3
ตัวโดยใช้ผ้าไปหมดไป 2 เมตรยังเหลือเก็บใว้ 3 เมตร

รุ่งเช้าหนุ่มเผ่าเต๋าของเรารีบใส่กางเกงในตัวใหม่ แล้วสวมผ้าเตี่ยวทับและออกเดิน
ทางไปหาคู่หมั้นสาวทันทีมิรั้งรอ ระหว่างทางเกิดปวดท้องหนักกระทันหัน
ต้องแวะต้นไม้ข้างทางเพื่อปลดทุกข์
หนุ่มเผ่าเต๋ากลัวกางเกงในตัวใหม่ จะเปื่อนเสียก่อนจึงถอดแขวนไว้กับกิ่งไม้
แต่ด้วยอารามรีบร้อนอยากพบหน้าคู่หมั้นสาว เมื่อเสร็จภาระกิจก็รีบออกเดินทางในทันที...
อนิจจาหนุ่มเผ่าเต๋า ของเราลืมใส่กางเกงในที่แขวนไว้กลับคืน

เมื่อเดินทางมาถึงบ้านคู่หมั้นสาวในตอนเย็นว่าที่พ่อตาได้จัดให้มีงานเลี้ยงต้อน
รับที่บ้านโดยทุกคนนั่งล้อมวงรับประทานอาหารเย็น
หนุ่มเผ่าเต๋าเลือกนั่งตรงข้ามกับคู่หมั้นสาวเพื่อจะโชว์กางเกงในตัวใหม่ของเขาให้คู​่หมั้นสาวดู
หนุ่มเผ่าเต๋าพยายามนั่งกางขาเต็มที่เพื่อให้คู่หมั้นสาวได้เห็นกางเกงในตัวใหม่
ของเขาได้ชัดๆเต็มตา

เมื่อคู่หมั้นสาวได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในผ้าเตี่ยว...ก็เกิดอาการช้อคอ้าปากค้าง
...หนุ่มเผ่าเต๋ากระหยี่มใจคิดว่าคู่หมั้นสาวประทับใจในกางเกงในตัวใหม่ของเขาจึง
ลองถามออกไปว่า ชอบไหมจ๊ะที่รัก..ผมยังมีเหลืออีก 3 เมตรเก็บไว้ที่บ้านนะ
คู่หมั้นสาวเป็นลมหงายหลังตึงในทันที

วิญญาณพี่สาว


เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ นอกจากจะเป็นเรื่องผีที่น่าขนหัวลุกแล้ว ผมว่ายังจะเป็นอุททาหรณ์สำหรับคุณผู้อ่านได้ด้วย

นั่นก็คือ ผมอยากจะบอกคุณๆ ว่า การเกิดเป็นต้นเหตุของความตาย และอันความตายนั้นไม่ใช่ว่าจะรอคอยเราอยู่ตรงบั้นปลายชีวิต เมื่อเราแก่เฒ่าร่วงโรยตามอายุขัยเสมอไปหรอกครับ

จริงๆ แล้วความตายอยู่กับเราๆ ท่านๆ ในทุกลมหายใจ หากเผลอไผลหรือประมาทพลาดพลั้งเมื่อไหร่ แม้เพียงเสี้ยววินาทีเราก็เสร็จมันแน่ๆ เราจะได้พบความตายที่มาจากอุบัติเหตุต่างๆ นานา ทางรถยนต์ ทางน้ำ ทางไฟฟ้า การพลัดตกจากที่สูง และสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดแต่ดันเกิดขึ้นอีกร้อยแปดพันเก้า

ผมเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ครับ จวนจบ ม.6 ในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี่แหละ

ผมไม่ใช่ลูกโทนโดยกำเนิด จริงๆ แล้วผมมีพี่สาวที่น่ารักมากอยู่คนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่สุดที่เธอตายไปเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ ด้วยสาเหตุถั่วลิสงติดคอ! เฮ้อ...เรากำลังเล่นกันดีๆ แท้ๆ พริบตาเดียวความตายก็ได้เธอไปครอง!

คุณต้องระวังให้มากๆ นะครับ มันอาจจะเกิดขึ้นกับตัวคุณเอง ลูกเล็กๆ หรือคนที่คุณรักก็ได้

ตอนนั้นน่ะผมอายุแค่ 4 ขวบกำลังเรียนอนุบาล ส่วน "พี่แต" ของผมอยู่ชั้น ป.1 เธอเรียนเก่งมาก ชอบเลขคณิต ภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด นี่ถ้าหากยังอยู่ ป่านนี้ต้องได้เรียนเป็นหมอแน่ๆ ตรงข้ามกับผมเลยครับ ผมชอบเล่นมากกว่าชอบเรียน ทุกๆ เช้ากว่าจะไปโรงเรียนได้ แม่กับยายแทบประสาทกินเพราะผมโยเย ขณะที่พี่แตแต่งตัว ผูกหางเปีย ไปนั่งรออยู่ในรถแล้ว

วันที่เกิดเหตุเป็นวันเสาร์ พี่เลี้ยงซื้อถั่วลิสงต้มมาแกะกิน เราสองคนพี่น้องเห็นเข้าก็อยากกินมั่ง พี่เลี้ยงก็แกะให้...แหม! มันอร่อยหวานมัน หอมกรุ่นกินเพลินจริงๆ ครับ ถั่วลิสงต้มนี่น่ะ

พี่เลี้ยงของเรามีวิธีกินพิสดาร คือแกจะโยนเม็ดถั่วสูงขึ้นไปในอากาศแล้วอ้าปากรับ เราก็เอามั่งซิ สนุกดีนี่!

ได้เรื่องเลยครับ พี่แตแหงนคอรับถั่วไปหัวเราะไป เสียงหัวเราะของเธอสดใสเหลือเกิน ผมจำได้ไม่ลืม...เสียงหวานใสเหมือนระฆังแก้ว แต่แล้วก็หยุดชะงักทันใด

ผมหันไปดู เธอเอามือกุมคอหอย สีหน้างงงันและตกใจ แววตาตื่นกลัวสุดขีด ไม่มีเสียงใดๆ ออกจากปากที่อ้าค้าง เธอหายใจไม่เข้า มือตะครุบแขนพี่เลี้ยงขอความช่วยเหลือ ฝ่ายนั้นก็ตกใจถามอย่างเดียวว่าคุณแตเป็นอะไรๆ แล้วร้องกรี๊ดกร๊าดวิ่งพล่าน

ตอนนั้นไม่มีใครอยู่บ้านเลยครับ พ่อแม่ไปธุระ คุณยายไปหาเพื่อน ผมเองก็ยังเด็กเหลือเกิน ได้แต่ร้องไห้จ้า ขณะที่พี่แตล้มคว่ำหน้าลงกับพื้นซีเมนต์ เธอเขียวไปทั้งตัว จากผิวขาวอมชมพูกลายเป็นสีคล้ำดำมืด...

แล้วเธอก็จากพวกเราไปตลอดกาล!

ทว่า พี่แตจากไปแต่เพียงร่างเท่านั้น บ้านเราไม่เหมือนเดิมอีกเลย ทุกคนเศร้ามาก พ่อแม่กับคุณยายผลัดกันเป็นลมแล้วเป็นลมอีก ความเศร้าครอบงำพวกเราอยู่เป็นปี

วันหนึ่ง หลังจากพี่แตตายไปราวสามเดือน ผมเห็นเธอครับ เช้าวันนั้นผมโยเยตามเคย ก็มันไม่อยากไปโรงเรียนนี่นา แล้วผมก็เห็นพี่แตนั่งรออยู่ในรถ!

เธอดูเหมือนเดิมทุกอย่าง ผมโวยลั่น แม่วิ่งไปดู แม่ไม่เห็นแต่ร้องไห้เสียงดัง

ตั้งแต่นั้นมาผมเห็นพี่แตบ่อยมาก เห็นในบ้านเรานี่แหละครับ บางทีเธอก็นั่งดูทีวีอยู่ใกล้ๆ แม่ ผมชี้มือบอกว่าพี่แตมา! แม่ไม่กลัวแต่คนอื่นกลัวมาก อย่างพี่เลี้ยงที่ซื้อถั่วต้มมาให้กินถึงกับลาออกไปเลย เพราะคืนหนึ่งแกลืมตาขึ้นมาเห็นพี่แตยืนจ้องอยู่ข้างเตียง

คุณยายบอกว่าพี่แตยังไม่ถึงอายุขัย เธอตายกะทันหันด้วยอุบัติเหตุ วิญญาณยังห่วงและผูกพันกับชีวิตชาตินี้...ชีวิตที่ภายภาคหน้าทำประโยชน์ได้อีกมากมาย

ทุกวันนี้เราขายบ้านหลังนั้นไปแล้ว และมาซื้อคอนโดฯ อยู่กัน คุณยายก็ตายไปสวรรค์อยู่กับพี่แตแล้ว ผมยังคิดถึงสองคนอยู่เสมอ ผมเห็นพี่แตครั้งสุดท้ายเมื่ออายุราว 10 ขวบ ยอมรับว่ากลัวเหมือนกัน...

ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เห็นอีก นอกจากในฝันที่เธอเป็นสาวสวยน่ารักมากครับ!

วิญญาณฆ่าตัวตายในห้องน้ำสาธารณะ

เราออกกำลังกายที่สวนลุมทุกเช้าเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว ฉะนั้น ส่วนมาก ในสวนลุมเกิดเรื่องอะไร เรามักจะรู้เกือบทุกเรื่อง (ไม่ได้เจือก แต่พวกคนสวนมาเล่าให้ฟัง) แล้ววันหนึ่ง ประมาณ 3 ปีมาแล้ว แต่เดือนจำไม่ได้ เราไปแต่ตีห้า คนสวนก็รีบมารายงาน ....พี่ๆ เมื่อเย็นวานนี้นะ มีคนฆ่าตัวตายที่ห้องน้ำทางรถเข้าแหละ ประมาณ 5 โมงกว่าๆ เราก็ เหรอ....(ตื่นเต้น มีเรื่องให้เม้าท์ได้อีก) ห้องน้ำไหนอ่ะ เราน่ะ เป็นคนไม่ค่อยเข้าห้องน้ำสาธารณะหรอก

ไปสิบกว่าปีเข้าไม่ถึงสิบครั้ง ยกเว้นเข้าไปล้างมือ เขาว่า ห้องน้ำที่เพิ่งสร้างใหม่ไง หน้าประตูสวน ทางรถเข้าอ่ะ เราก็ อื๋อออ ตายหะ เพิ่งสร้างเสร็จ เรายังเคยเข้าครั้งหนึ่ง เพราะความใหม่เลย คนสวนว่า ห้องที่สาม พี่ เขานั่งหลังพิงประตู แล้วก็เชือดคอตาย รู้สึกจะท้องด้วย .... โหย.....ซวยละซิ ตายทั้งกลมนะ เราคิด สงสารผู้หญิงคนนี้มาก เราก็กระเสือกกระสนค้นหาข่าวใน นสพ.

มาอ่าน รู้ชื่อ นามสกุล ใจเราก็คิดนะว่า แล้วต่อไปใครจะกล้าเข้าห้องน้ำนี้วะ เรื่องที่ผู้หญิงคนนี้ฆ่าตัวตายตามใน นสพ. ก็มีว่า อายุประมาณ 28-29 ท้องได้ 3-4 เดือน มาจากต่างจังหวัด อาศัยกับญาติ ญาติก็ว่า มาได้สองสามวัน ซึมเศร้า ไม่รู้ว่าท้อง ก็ลงชื่อ นามสกุล

ใจเรานะ คิดแต่เรื่องนี้ว่า เขาต้องน่าสงสารมากๆเลย คิดไม่ตก เลยฆ่าตัวตาย แต่การตายแบบนี้ จะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด จะช่วยเขาให้ได้เกิดอย่างไร ให้พ้นเวรกรรมที่ก่อด้วยใจที่ไม่มีทางออก แล้วเราก็คิดต่อ (ช่างคิดเนอะ) ว่า แล้วถ้าไม่ผุดเกิดก็ต้องสิงสถิตย์อยู่ในห้องน้ำที่สามเนี่ย

แล้วพวกมาออกกำลังกายตอนเช้ามืดมักจะต้องอาศัยเมื่อการลำเลียงของเสียของลำไส้ทำงาน แล้วมันจะหลอนมั๊ยเนี่ย ยังไม่นับพวกมาออกกำลังกายจนสามทุ่มนั่นอีก เราคิดแล้วสงสารผู้หญิงคนนี้มาก

เราก็สวดมนต์อุทิศให้เธออยู่ หลังจากนั้น สองวันมั๊ง ก็มีพระมารับสังฆทาน เป็นเหมือนพวกนักศึกษาจัดงานบุญอ่ะ เราก็ดีใจ รีบเลย ซื้อสังฆทานชุดใหญ่ทั้งอาหาร ทั้งยา มีพระสวด 9 รูป (เกิน 4 รูปก็สำเร็จสังฆทาน) เราก็รู้ชื่อเธอด้วย เราท่องไว้เลย เพราะตั้งใจแน่วแน่ว่า จะต้องทำบุญให้เธอเพื่อไปสู่คติภพ แล้วเราก็ได้ทำบุญสมกับที่ตั้งใจ
แถมอีกนิด...พอทำบุญเสร็จ เจอเพื่อนซี้ที่ไปทำบุญพม่ากันประจำ เราก็บอกว่า เฮีย...เราถวายสังฆทานด้วยล่ะ เมื่อกี้นี้ เพื่อนเราว่า ...เฮ้ย...ทำทำไม นี่พระวัด......อย่าไปทำ (อันนี้กราบขออภัยทุกท่านรวมทั้งเพื่อนเราด้วย คือ ที่ขออภัยเพราะเรารักเพื่อนคนนี้มาก เขาใจบุญจริงๆ

แต่เลือกข้าง (ไม่เกี่ยวการเมือง)แรงๆ) เราก็เลยคิดแอบในใจว่า จะวัดไหน เราทำต่อหน้าฟ้าดินกลางถนนเลย เราไม่คิดว่า จะวัดดีหรือไม่ดี เราขอส่งบุญกุศลนี้ให้เธอผู้ที่แพ้กับชีวิตถึงต้องฆ่าสองชีวิตเพื่อชดใช้เจ้ากรรมนายเวร
อยากให้กัลยาณมิตรในนี้ เวลาอ่านเจอข่าวที่ใครถูกฆ่าหรื

อย่าฆ่าตัวตาย ให้จำชื่อ สกุล อายุ แล้วอุทิศให้พวกเขาด้วยนะจ๊ะ
อนุโมทนาบุญ
ขอผลบุญกุศลที่เราได้รับจากทางไหนก็ตาม ได้มีผลต่อทุกท่านที่สอนให้เราทำความดีในทุกชาติภพด้วย สาธุ

สองวิญญาณ

ในอดีตผมเคยเป็นนักข่าวสายอาชญากรรม สำนวนตอนนั้นคือ "เหยี่ยวข่าว" กับ "กระจอกข่าว" มีคนปากเสียชอบแซวว่าไม่มีใครเป็น "อีแร้งข่าว" มั่งเหรอ?

แน่ใจนะว่าเอาปากพูด? ฮั่นแน่! ยังใช้ภาษาวัยสะรุ่นได้การนะครับ

พูดถึงเรื่องขนหัวลุกมีนับไม่ถ้วน เรื่องเกี่ยวกับผีๆ สางๆ ก็มีเป็นกระบุงเหมือนกัน ทั้งฟังจากเพื่อนๆ นักข่าวเล่า กับทั้งเคยเจอะเจอด้วยตัวเอง

น้าหวิงเป็นนักข่าวรุ่นพี่ ประสบการณ์ระดับเหยี่ยวถลาลม วันหนึ่งไปทำข่าวที่โรงพยาบาลกลาง เหยื่อที่ถูกยิงปางตายรักษาตัวอยู่ที่นั่น มีญาติมิตรเฝ้าเพียบ ไม่ยอมให้นักข่าวกับช่างภาพเข้าไป "เจาะภาพเด็ด" ในห้องกว้างขวางของคนไข้สามัญได้เด็ดขาด

พวกเราได้แต่ยืนออกันอยู่หน้าห้อง อยากสัมภาษณ์นิดหน่อยว่าสงสัยใคร? เห็นหน้ามือปืนชัดหรือเปล่า? ถ้าได้ภาพประกอบด้วยก็ยิ่งดี เพราะหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวเจ๋งๆ แต่ถ้าขาดภาพประกอบข่าวด้วย ก็เหมือนต้มยำลืมใส่น้ำปลานั่นแหละครับ

ในที่สุด พวกญาติก็ยอมให้นักข่าวเข้าไปได้ แต่ห้ามถ่ายรูป ไม่รู้ว่าอายกล้องหรือกลัวรูปตอนนอนเจ็บหนักน่ะจะออกมาไม่หล่อเหมือนตัวจริงกันแน่?

น้าหวิงถือว่ารุ่นใหม่ไฟแรง ทั้งทำข่าวกับเป็นช่างภาพเบ็ดเสร็จ ควักกล้องขึ้นมาก็โดนห้ามทันใด น้าหวิงก็ไม่ว่าอะไร แต่เร่ออกไปตั้งระยะภาพมุมอื่นที่คิดว่าเหมาะเจาะได้การ...หันขวับไปอีกทีก็กดชัตเตอร์เรียบร้อย

เผ่นอ้าวกลับโรงพิมพ์พร้อมกับภาพเด็ดทันที

คนเจ็บตายคืนนั้นเอง..ตกดึกวิญญาณก็มาหาน้าหวิงถึงหน้าต่างห้องนอน!

"ถ่ายรูปกูทำไม?" กูไม่ชอบให้ใครถ่ายรูปกู..." เสียงหมาเห่าหอนกับเสียงแหบโหยนั่นปลุกน้าหวิงให้สะดุ้งตื่น มองเห็นภาพที่หน้าต่างหัวนอนแล้วแทบหัวใจวาย เพราะจำได้ว่าเป็นใบหน้าคนเจ็บที่ตัวเองถ่ายรูปได้เพียงคนเดียว...ปรากฏแต่ใบหน้าดำเมื่อมบิดเบี้ยวเหยเกน่าขนหัวลุก

น้าหวิงต้องคว้าพระเครื่องที่สร้อยคอหัวเตียงมาจบเหนือหัว อาราธนาคุณพระรัตนตรัยให้ช่วยคุ้มครอง ภาพนั้นจึงค่อยๆ เลือนรางจางหายไป

รุ่งขึ้น ภาพถ่ายของน้าหวิงลงหน้าหนึ่ง มีแต่ญาติๆ ยืนอยู่ข้างเตียงว่างเปล่าไม่ปรากฏร่างของคนเจ็บหนักเลย นอกจากเงาจางๆ เหมือนภาพที่ถ่ายติดวิญญาณเท่านั้น!

ประสบการณ์ของผมก็ไม่น้อยหน้ากว่าน้าหวิงเท่าไรนัก

ตอนนั้นผมเพิ่งเป็นกระจอกข่าวติดตามรุ่นพี่ไปทำข่าวฆาตกรรม หมกศพไว้ในสวนแถวบางชัน เป็นศพผู้หญิงนิรนามถูกฆ่าหมกในร่องสวนฝรั่งไว้เกือบเดือนแล้ว ผมยาวสยายอยู่ในน้ำปนกับจอกแหน เนื้อหนังหลุดล่อนแทบจะเหลือแต่ซาก...ขนาดพวกป่อเต็กตึ๊งที่ว่าเคยเจอศพมาสารพัดรูปแบบ ยังต้องหันหน้าหนีก็แล้วกัน

นักข่าวเข้ารุมล้อมตำรวจ บ้างก็สอบถามชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงที่มามุงดู เจ้าของสวนพูดปลงๆ ว่าคงกินฝรั่งสวนนี้ไม่ได้แล้วเพราะมันดูดกลิ่นศพไว้ ผมถอยออกมาเหยียบอะไรลื่นๆ จนเสียหลักหวิดหงายหลัง แต่ดีมีเพื่อนนักข่าวช่วยคว้าแขนไว้ทัน

นาฬิกาเรือนเหล็กของผู้ตายครับ!

และนั่นคือหลักฐานสำคัญที่ทำให้รู้ว่าผู้ตายเป็นใคร?

คืนนั้นเอง ผมกำลังเคลิ้มๆ ก็พอดีได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญมาจากหน้าบ้านที่มีต้นมะม่วงร่มครึ้ม ต่อมาก็กลายเป็นเสียงร้องไห้กระซิกๆ จนผมอดรนทนไม่ไหว ต้องลุกออกไปเปิดหน้าต่างดู

คุณพระช่วย! ท่ามกลางแสงจันทร์ขาวนวล มีร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมองผม ตาต่อตาสบกัน...แน่ใจว่ามีน้ำตาไหลรินลงมาตามร่องแก้มเป็นทางยาวขณะแว่วเสียงพึมพำ...ขอบคุณที่ช่วยฉัน...ขอบคุณจริงๆ ค่ะ...

และแล้ว ร่างนั้นก็ค่อยๆ เลือนรางจางหายไปในแสงจันทร์!

เพราะนาฬิกาเรือนนั้นเองที่ทำให้ตำรวจรู้ตัวผู้ตาย และสืบสวนจนได้ความว่า ฆาตกรคือคนรักที่ลวงเธอมาฆ่าเพราะความหึงหวง คิดว่าผู้ตายจะปันใจให้ชายอื่น ...โธ่! ไม่ต้องมาขอบอกขอบใจก็ได้ เดี๋ยวผมก็พลอยหัวใจวายไปอีกคน!